ในเดือนกรกฎาคม 2017 รัฐบาลของจีนตีพิมพ์รายงานนโยบายที่ท้าทายความสามารถโดยสรุปว่าประเทศจะกลายเป็นผู้นำระดับโลกใน AI ภายในปี 2573 ได้อย่างไร แต่จากมาตรการบางอย่างที่จีนประสบความสำเร็จในเป้าหมายนี้

การศึกษาใหม่แสดงให้เห็นว่าการส่งออก AI ของจีนที่มีอิทธิพลต่อการวิจัยจะแซงหน้าของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของโลกในการวิจัย AI การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าแผนของจีนที่จะขยายขีดความสามารถด้าน AI ด้วยความช่วยเหลือจากการลงทุนของภาครัฐทั้งในสถานศึกษาและอุตสาหกรรมเอกชน

ในแง่ของปริมาณ AI ของเอกสาร AI ที่ตีพิมพ์ในแต่ละปีจีนแซงหน้าอเมริกาเมื่อปี 2549 แต่นักวิจารณ์ชี้ให้เห็นว่าปริมาณไม่จำเป็นต้องมีคุณภาพเท่ากัน ประเทศจีนมีปัญหาเกี่ยวกับการฉ้อโกงทางวิทยาศาสตร์อย่างดีและใน AI นั้นมีงานวิจัยของจีนที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุผลเหล่านี้บางคนแนะนำว่าการนับจำนวนเอกสารไม่จำเป็นต้องเป็นตัวชี้วัดที่มีความหมายสำหรับความสำเร็จของ AI

หลังจากการวิเคราะห์เอกสาร AI มากกว่าสองล้านฉบับที่ตีพิมพ์จนถึงสิ้นปี 2018 สถาบันอัลเลนพบว่าจีน“ มีแนวโน้มที่จะแซงหน้าสหรัฐในจำนวน 50% ของเอกสารที่อ้างถึงมากที่สุดในปีนี้ ปีหน้าและใน 1 เปอร์เซ็นต์ของเอกสารที่ถูกอ้างถึงมากที่สุดภายในปี 2025”

กราฟสองจุดจาก AI2 แสดงส่วนแบ่งของจีนและอเมริกาสูงสุด 10% และ 1% ของเอกสารที่ถูกอ้างถึงมากที่สุด
Credit: Allen Institute for Artificial Intelligence

สหรัฐอเมริกาและจีนได้ก้าวมาเป็นผู้นำในด้านวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ที่มีคุณภาพมากที่สุดของโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมาถึงแม้สหรัฐอเมริกาจะเป็นประเทศที่เริ่มต้นทำการวิจัยทางด้านนี้ก่อน แต่ผลสำรวจนั้นชี้ว่าจีนได้ขึ้นนำสหรัฐอเมริกาทางด้านการตีพิมพ์งานวิจัยและการถูกนำไปใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในประเด็นของ Deep Learning และ Deep Neural Network ตั้งแต่ปี 2014 แล้ว จากข้อมูลปี 2017 จีนมีปริมาณสิทธิบัตรด้าน AI มากกว่าสหรัฐอเมริกาอยู่ 4 เท่า

และถือครองสิทธิบัตรด้าน Blockchain มากกว่าสหรัฐอเมริกาอยู่ 3 เท่า ซึ่งการเติบโตอย่างรวดเร็วทางด้านการวิจัยเทคโนโลยีนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นผลพวงมาจากการสนับสนุนอย่างเต็มตัวของภาครัฐในจีนที่เล็งเห็นถึงความสำคัญในการนำเทคโนโลยีมาใช้ผลักดันการเติบโตของประเทศจีน

ทั้งในส่วนของตอบสนองต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ด้วยเหตุนี้สหรัฐอเมริกาจึงวางแผนในการปรับตัวทางด้านอนาคตของ AI และเผยแพร่ออกมาในเอกสารภายใต้ชื่อ Preparing for the Future of Artificial Intelligence เพื่อให้ภาคธุรกิจและการศึกษาในประเทศได้ปรับตัวไปพร้อมๆ กัน 

นักวิจัยพบว่าส่วนแบ่งของอเมริกาที่ถูกอ้างถึงมากที่สุด 10% ของเอกสารลดลงจาก 47% ในปี 1982 เป็น 29% ในปี 2018 ที่ต่ำที่สุดในขณะที่ส่วนแบ่งของจีนนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 26.5 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้ว

นโยบายส่งเสริม AI ของรัฐบาลจีน ซึ่งมักใช้วิธีส่งเสริมให้รัฐบาลท้องถิ่นทดลองนำ AI ไปปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยให้ร่วมมือกับเอกชนนำ AI ไปปรับใช้ในเรื่องการจราจร สาธารณสุข การเกษตร การศึกษา ฯลฯทำให้มีตัวอย่างการปรับใช้ AI ที่หลากหลาย มีการพัฒนารูปแบบการนำ AI มาประยุกต์ใช้มากมาย

อย่างไรก็ตาม ประชาชนชาวจีนยังคงมีสถิติสูงสุดของโลกที่มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตถึง 800 ล้านคนจากจำนวนประชากรทั้งหมด 1,400 ล้านคน

และจีนยังยึดถือ AI เป็นแขนข้างหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญของการแข่งขันในตลาดโลก ทำให้มีการจัดตั้ง Chinese State Council เพื่อจัดระบบพัฒนา AI ให้เทียบเคียงกับสหรัฐในปี 2020 มีการทุ่มเงินมากถึง 1 ล้านล้านหยวน หรือราว 4.63 ล้านล้านบาท เพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรมของจีน โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การเป็น AI Innovation Center ของโลกภายในปี 2030


Cr: theverge.com, allenai.org/

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น