จากข้อมูลของ Consumer Sentinel Network Data Book ซึ่งดูแลและอัปเดตทุกไตรมาสโดย Federal Trade Commission การโจรกรรมข้อมูลระบุตัวตนกลับมาเป็นประเภทการฉ้อโกงอันดับ 1 ที่รายงานโดยชาวอเมริกันจนถึงปี 2020 โปรไฟล์บน Social media ต่าง ๆ จำเป็นต้องใช้ข้อมูลส่วนตัวเพื่อใช้ระบุตัวตนของผู้ใช้งาน อาจดูเหมือนเป็นข้อมูลทั่ว ๆ ไปจนทำให้ผู้ใช้งานไม่ได้ใส่ใจมากนักเกี่ยวกับด้านความปลอดภัยแต่นี่คือข้อมูลที่แฮกเกอร์ต้องการ หากผู้ใช้งานละเลยอาจทำให้เกิดช่องโหว่จนนำไปสู่การโจรกรรมข้อมูลได้ง่าย

1.ปกป้องอุปกรณ์มือถือของคุณ

เราแนะนำให้มีรหัสผ่านบนโทรศัพท์หรือแท็บเล็ตของคุณ แม้ว่าคุณจะคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ก็ตาม ด้วยรูปถ่าย ข้อความ อีเมล บันทึกย่อ วิดีโอ และข้อมูลประจำตัวของบัญชีถูกจัดเก็บบนสมาร์ทโฟน พวกเขาจึงกลายเป็นเป้าหมายของโจร หากโทรศัพท์ของคุณตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดีโดยไม่มีรหัสผ่านเพื่อปกป้องข้อมูลที่อยู่ในนั้น อาจมีบางคนสามารถขโมยข้อมูลประจำตัวของคุณ เข้าถึงบัญชีโซเชียลมีเดียของคุณ และแฮ็กอีเมลของคุณได้

2.เพื่อช่วยป้องกันขโมยข้อมูลประจำตัว ควรพิจารณาข้อมูลที่คุณเปิดเผยเกี่ยวกับตัวคุณและครอบครัว และผู้ที่อาจอยู่ในกลุ่มผู้ชมทุกครั้งที่คุณโพสต์บนโซเชียลมีเดีย สำหรับแพลตฟอร์มอย่าง Facebook ซึ่งมีการตั้งค่าการเปิดเผยข้อมูลที่หลากหลายสำหรับโพสต์ที่คุณสร้างในโปรไฟล์ของคุณ ให้ใช้เวลาสักครู่เพื่อดูว่าโพสต์ใดที่คุณสร้างไว้ซึ่งเปิดเผยต่อสาธารณะ และสิ่งที่คนอื่นอาจสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับตัวคุณได้จากการอ่าน

เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีมักตกเป็นเป้าหมายของการโจรกรรมข้อมูลประจำตัวเด็ก เนื่องจากคะแนนเครดิตของพวกเขาไม่มีการระบุอย่างชัดเจน การโพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับลูกๆ ของคุณบนโซเชียลมีเดีย แม้ว่าจะเป็นเพียงชื่อเต็มและวันเกิดของพวกเขา ก็อาจเป็นอันตรายได้พอๆ กับโพสต์ของคุณเอง

3.อย่าคลิกลิงก์ที่ส่งถึงคุณทางอีเมล

ทุกวันนี้ กลโกงอาจระบุได้ยากกว่าที่เคย อีเมลที่ดูเหมือนส่งมาจากเพื่อนหรือแหล่งอื่นที่คุณเชื่อถือ อาจกลายเป็นอีเมลปลอมที่น่าเชื่อได้ ทุกครั้งที่คุณคลิกลิงก์ที่ส่งถึงคุณ แสดงว่าคุณกำลังเสี่ยง

“อาชญากรมีความซับซ้อนมากขึ้น” ดอนน่า เกรกอรีหัวหน้าศูนย์ร้องเรียนอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตของเอฟบีไอกล่าว “เหยื่อจะสังเกตเห็นธงแดงและบอกของจริงจากของปลอมยากขึ้นเรื่อยๆ”

ตามกฎแล้ว อย่าคลิกลิงก์ที่ส่งถึงคุณทางอีเมล อย่าตอบกลับอีเมลที่ขอข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ และควรระมัดระวังเมื่อได้รับข้อเสนอที่ดูดีเกินจริง

4.หลีกเลี่ยงการใช้ Wi-Fi สาธารณะ

พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ Wi-Fi สาธารณะ ทางที่ดีควรใช้อินเทอร์เน็ตเครือข่ายมือถือของตัวเองเพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่า เครือข่าย Wi-Fi สาธารณะปลอดภัยจริงหรือไม่ เป็น Wi-Fi ปลอมที่แฮกเกอร์สร้างเพื่อดักจับข้อมูลเหยื่อหรือเปล่า หากไม่มีทางเลือกควรใช้ VPN (Virtual Private Networks) ด้วย เพื่อให้แน่ใจว่ากิจกรรมออนไลน์ทั้งหมดจะปลอดภัยตั้งแต่ ธนาคารออนไลน์ไปจนถึงข้อความส่วนตัว

5. อย่าแชร์ทุกอย่างที่คิด ก่อนแชร์ให้คิดก่อนเสมอ

ในโลก Social media มีอันตรายแอบแฝงอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเราใช้งานโดยการแชร์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเราลงบนโลกออนไลน์ เช่น แชร์ข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดแบบสาธารณะ แชร์ Location ที่อยู่อาศัยของตัวเอง ฯลฯ อาจเป็นการแบ่งปันข้อมูลให้กับแฮกเกอร์ หรือ คนแปลกหน้าก็ได้ ทางทีดีควรคิดก่อนแชร์เสมอ เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง

cr:identityguard, thaicert

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น