fbpx
Site Loader

จากแหล่งข้อมูลที่ให้มา ความท้าทายสำคัญในการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในโรงเรียนไทย และแนวทางแก้ไข มีดังนี้ โดยข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เทคโนโลยีสามารถเป็นเครื่องมือที่แท้จริงในการพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืนและทั่วถึง

ความท้าทายที่สำคัญ:

1.ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล

แม้ว่าโรงเรียนกว่า 97% ในประเทศไทยจะสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ แต่ยังมีความเหลื่อมล้ำสูงในการเข้าถึงคอมพิวเตอร์ระหว่างโรงเรียนในเมืองและโรงเรียนในชนบท ส่งผลให้ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ มีเพียง 16% ของครัวเรือนเท่านั้นที่มีคอมพิวเตอร์ใช้ที่บ้าน ทำให้เกิดข้อจำกัดในการเรียนรู้เพิ่มเติมนอกห้องเรียน และส่งผลกระทบต่อความสามารถในการพัฒนาทักษะดิจิทัลของนักเรียน โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย ซึ่งอาจต้องพึ่งพาอุปกรณ์จากโรงเรียนหรือแหล่งเรียนรู้สาธารณะเท่านั้น

   * ศ.ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ (สถาบัน TDRI) กล่าวว่า “ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลไม่ใช่แค่เรื่องของอุปกรณ์ แต่คือความเหลื่อมล้ำในโอกาสการพัฒนาตนเอง ซึ่งหากไม่เร่งแก้ไข จะยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในอนาคตถ่างกว้างมากขึ้น”

2. การขาดทักษะดิจิทัลและทักษะการใช้ AI

   นักเรียนจำนวนมากยังขาดทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันและในการเรียนรู้ เช่น การจัดทำงานนำเสนอ หรือการทำรายงานอย่างเป็นระบบ รวมถึงทักษะการคิดวิเคราะห์และความสามารถในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล

   มากกว่าครึ่งหนึ่งของวัยรุ่นอายุ 16-19 ปี ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการทำงานนำเสนอ ซึ่งแสดงถึงการขาดความเชื่อมโยงระหว่างเครื่องมือดิจิทัลกับการเรียนรู้ และอาจทำให้ศักยภาพของเทคโนโลยีไม่ได้รับการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่

นักเรียนหลายคนยังขาดทักษะพื้นฐานในการใช้ AI หรือเครื่องมือค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ ChatGPT โดยไม่เข้าใจคำตอบที่ได้รับ หรือการคัดลอกผลการค้นหาแรกจาก Google โดยไม่พิจารณาความถูกต้องหรือแหล่งที่มาของข้อมูล ซึ่งสะท้อนถึงการขาดการฝึกฝนในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้อย่างมีวิจารณญาณ

   * ดร.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ (ครูแห่งอนาคต/นักวิจัยด้านการศึกษา) เน้นว่า “การสอนเทคโนโลยีต้องควบคู่กับการสอนการคิดวิเคราะห์ ไม่เช่นนั้นนักเรียนจะกลายเป็นผู้บริโภคข้อมูลแบบไม่มีกลไกกลั่นกรอง ซึ่งอันตรายมากในยุคที่ข้อมูลล้นเกิน”

3. ความท้าทายสำหรับครูในการก้าวทันเทคโนโลยีและการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน

ครูจำเป็นต้องพัฒนาทักษะดิจิทัลและเข้าใจการประยุกต์ใช้ AI อยู่เสมอเพื่อให้สามารถออกแบบการเรียนรู้ที่ทันสมัยและตอบสนองผู้เรียนในยุคดิจิทัลได้อย่างเหมาะสม โดยต้องคำนึงถึงจริยธรรมและความหลากหลายของผู้เรียนด้วย

อย่างไรก็ตาม ครูในพื้นที่ห่างไกลยังคงเผชิญปัญหาในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่มีคุณภาพ และทรัพยากรดิจิทัลที่เพียงพอ ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการพัฒนาตนเองและการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในวิชาที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงหรือเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

คุณครูภัทราวดี พันธุ์สมบูรณ์ (โรงเรียนในภาคอีสาน) แสดงความเห็นว่า “ถ้าเรามีคอมพิวเตอร์ดี ๆ และอินเทอร์เน็ตเร็ว ๆ เหมือนโรงเรียนในเมือง เด็กของเราจะไปได้ไกลกว่านี้มาก ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการคิดสร้างสรรค์”

1. ความร่วมมือและนโยบาย

 สหประชาชาติร่วมกับรัฐบาลไทยในการผลักดันให้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม โดยเน้นการสนับสนุนโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลและกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเรียนรู้เท่ากันรัฐบาลได้ดำเนินโครงการสำคัญ เช่น Coding for All และยุทธศาสตร์ AI ระดับชาติ ที่มีเป้าหมายให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเรียนรู้และใช้ AI อย่างเข้าใจ และสามารถใช้เครื่องมือดิจิทัลเหล่านี้ในการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจ

 นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในด้านการเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนด้วย AI การฝึกอบรมครู การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างรัดกุม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งครู นักเรียน และผู้ปกครอง

   * ดร.ภาวิณี อินทรักษา (NIA) กล่าวว่า “นโยบายด้าน AI ต้องไม่หยุดแค่การมีเครื่องมือ แต่ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในห้องเรียน และสร้างแรงจูงใจให้ครูและนักเรียนเชื่อว่า AI คือพลังเสริม ไม่ใช่ภาระเพิ่ม”

2. การพัฒนาครู

   UNESCO สนับสนุนครูด้วยกรอบสมรรถนะทาง AI ที่ครอบคลุมองค์ความรู้ด้านจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ ความเข้าใจพื้นฐาน และการนำ AI ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาชุดความคิดแบบมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ครูสามารถใช้ AI ได้อย่างมีความรับผิดชอบ

โครงการ One Teacher Thailand โดย UNICEF มีบทบาทสำคัญในการยกระดับความสามารถของครูไทย โดยช่วยเหลือครูมากกว่า 500,000 คนให้สามารถใช้งานเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ได้อย่างมั่นใจ และเป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ต่อไปยังนักเรียนในวงกว้าง

 รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) เสนอว่า “การพัฒนาครูไม่ใช่แค่เรื่องการอบรมเท่านั้น แต่ต้องมีระบบพี่เลี้ยงดิจิทัล (digital mentoring) และชุมชนการเรียนรู้ร่วมกันที่ใช้เทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน”

3.การสร้างความเสมอภาคและการเข้าถึง

ความพยายามลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาควรใช้ AI เป็นเครื่องมือหลักในการเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ โดยต้องมั่นใจว่าทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ดิจิทัล อินเทอร์เน็ต หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับทักษะ AI

การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ จะช่วยให้เกิดการสนับสนุนด้านอุปกรณ์ ทรัพยากร และความรู้ให้กระจายอย่างเท่าเทียม รวมถึงการออกแบบโปรแกรมการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อบริบทที่แตกต่างของแต่ละภูมิภาค

4. การประเมินความพร้อมและการทำงานร่วมกัน

ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับ Readiness Assessment Methodology ของ UNESCO ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถประเมินความพร้อมของประเทศในมิติต่างๆ ได้อย่างครอบคลุม เช่น โครงสร้างพื้นฐาน นโยบายการศึกษา การลงทุน เทคโนโลยี และบุคลากร

การเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดประชุม UNESCO Global Forum on the Ethics of AI ในปี 2025 เป็นอีกก้าวสำคัญที่สะท้อนความมุ่งมั่นในการสร้างความร่วมมือระหว่างผู้กำหนดนโยบาย นักการศึกษา และภาคธุรกิจ เพื่อพัฒนา AI อย่างมีจริยธรรมและรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมทั้งสร้างเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดับโลก

5.การให้ความสำคัญกับการนับรวมและความเป็นธรรม

การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีการออกแบบนโยบายและแนวทางปฏิบัติที่ยึดถือความเสมอภาค และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กในพื้นที่ห่างไกล ผู้พิการ และกลุ่มชาติพันธุ์

การพัฒนาระบบการศึกษาที่มุ่งเน้นความนับรวม ความหลากหลาย และการเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนทุกคนสามารถเติบโตและเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการเตรียมความพร้อมสู่ยุค AI อย่างยั่งยืน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การเข้าถึงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่รวมถึงการสร้างทักษะ ความเข้าใจ และความมั่นใจในการใช้เทคโนโลยีเพื่ออนาคตที่ดีของทุกคน

 ดร.ธวัชชัย ไทยเขียว (DGA) กล่าวไว้ว่า “การออกแบบนโยบายดิจิทัลเพื่อการศึกษาต้องเริ่มจากการฟังเสียงของคนเล็ก ๆ ในระบบ เช่น ครูประจำชั้น นักเรียน และผู้ปกครองในพื้นที่ห่างไกล เพราะพวกเขาคือผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง”

Source : สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์. (2024). เสวนา “นโยบาย AI เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา”. สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI).

รายงาน “Digital Divide in Thai Education”, TDRI, 2023.

Post Author: nattariya

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *